ประเทศไทยนับเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรสำคัญของโลก จากข้อมูลสถิติการส่งออกอาหารของ World Trade Organization (WTO) ระบุว่าไทยมีส่วนแบ่งตลาดด้านการส่งออกอาหารอยู่ในอันดับ 5 ของโลกโดยในปี 2549 ไทยส่งออกอาหารกว่า 6 แสนล้านบาทไปทุกภูมิภาคทั่วโลก ซึ่งมีสินค้าหลักที่ส่งออก เช่น กุ้ง 8 หมื่นล้านบาท อุตสาหกรรมทูน่า 5 หมื่นล้านบาท สับปะรดประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท และไก่ 4 หมื่นล้านบาท จากแนวโน้มการแข่งขันทางธุรกิจที่เข้มข้น ผลักดันให้ภาคธุรกิจต้องยกระดับความสามารถในการดำเนินธุรกิจในทุกวิถีทาง
ทำให้โลจิสติกส์กลายเป็นเป้าหมายสำคัญที่ผู้ประกอบการนำมาใช้เป็นตัวเอกสร้างความได้เปรียบและสร้างแต้มต่อในการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งผู้ประกอบการอาหารต่างออกมายอมรับว่าแม้การพัฒนาดังกล่าวในบางอุตสาหกรรมอาจจะไม่ออกมาในรูปของต้นทุนโลจิสติกส์ด้านการผลิตที่ลดลง แต่สิ่งที่ได้รับและมีค่ามากกว่าคือกระบวนการทำงานที่มีการนำระบบโลจิสติกส์และซัพพลายเชนเข้ามาบริหารจัดการ รวมถึงการนำระบบไอทีที่ทันสมัยเข้ามาเชื่อมโยงระบบการทำงานทั้งภายในองค์กร และระหว่างองค์กรจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจ พร้อมกันนี้ต้องมีการบริหารงานร่วมกับซัพพลายเออร์อย่างเข้มแข็ง เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตไปข้างหน้า
โลจิสติกส์สร้างแต้มต่ออุตสาหกรรมอาหาร การบริหารจัดการโลจิสติกส์สำหรับอุตสาหกรรมอาหารวัตถุประสงค์หลักที่สำคัญ คือ ต้องการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ รักษาสิ่งแวดล้อม และสามารถตอบสนองความพึงพอใจของลูกค้าได้ นอกจากนี้ตลอดห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นจนถึงมือลูกค้าจะต้องมีการบริหารจัดการโดยระบบโลจิสติกส์ที่ดี ไม่มีการปนเปื้อนระหว่างการขนส่ง และสามารถสอบกลับ (traceability) ว่าสินค้าผลิตจากอะไรบ้างและมีแหล่งผลิตอยู่ที่ไหน ผลิตเมื่อไร ซึ่งต่อไปตลาดหลักของโลกจะหันมาเอาจริงเอาจังและให้ความสำคัญเรื่องนี้มากขึ้น โลจิสติกส์ในอุตสาหกรรมอาหารต้องใช้ความละเอียดรอบคอบมาก ต่างจากการบริหารจัดการโลจิสติกส์ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องสิ่งปนเปื้อน เนื่องจากอาหารเป็นสิ่งที่คนต้องรับประทานเข้าไป การนำระบบโลจิสติกส์เข้ามาบริหารจัดการองค์กรช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้การทำงาน การวางแผนการทำงาน การจัดระบบการทำงานและการประสานงานมีความชัดเจนมากขึ้น
รูปเพิ่มเติม