คณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้
FACULTY OF ENGINEERING AND AGRO-INDUSTRY, MAEJO UNIVERSITY

       “ภาคเหนือ” โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือตอนบนอันประกอบด้วย 9 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ และแม่ฮ่องสอน จัดเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อมลภาวะทางอากาศสูงที่สุดของประเทศ ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นแอ่งกระทะอยู่ท่ามกลางเทือกเขาสลับซับซ้อน อันเป็นอุปสรรคต่อการถ่ายเทของอากาศ ประกอบกับมีภูมิอากาศที่แห้งแล้งยาวนานกว่าทุกๆ ภาคของประเทศ โดยเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงเดือนเมษายน คาบเกี่ยวตั้งแต่ช่วงฤดูหนาว (พ.ย.-ก.พ.) ไปจนถึงช่วงฤดูร้อน(ก.พ.-เม.ย.) พื้นที่ส่วนนี้นอกจากจะมีเชื้อไฟจากชีวมวลของป่าไม้ผลัดใบปริมาณมาก มายมหาศาลแล้ว ยังมีเชื้อไฟจากเศษซากพืชทางการเกษตรอีกเป็นปริมาณมากด้วย พื้นที่ส่วนนี้ของประเทศจึงต้องเผชิญกับปัญหามลพิษจากหมอกควันในขั้นวิกฤติ อยู่เป็นประจำ (อ่านต่อบทความแบบ PDF   คลิ๊กที่นี้ )       

         สำหรับปีนี้ ทางกรมควบคุมมลพิษ ก็ได้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ไว้แล้ว กล่าวคือ ได้มีการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อระดมความคิดเห็นต่อการเตรียมการแก้ไขปัญหาหมอกควันที่เกิดจากไฟป่าและ การเผาในที่โล่งแจ้ง ปี 2556 แล้วในหลายจังหวัด ตั้งแต่ปลายปี 2555 ซึ่งมีทั้งนักวิชาการ ข้าราชการที่เกี่ยวข้อง และตัวแทนจากภาคประชาชนเข้าร่วมประชุมจำนวนมาก จึงน่าเชื่อได้ว่า ปีนี้จะสามารถรับมือกับสถานการณ์หมอกควันได้ดีกว่าทุกปีที่ผ่านมา       

         นอกจากนี้ ทางกรมควบคุมมลพิษยังได้ร่างมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควัน ภาคเหนือตอนบน ปี 2556 ให้ทุกฝ่ายร่วมพิจารณาด้วย มีทั้งมาตรการห้ามเผาโดยเด็ดขาดในช่วงวิกฤติ มาตรการจัดระเบียบการเผา มาตรการป้องกันไฟป่า มาตรการสนับสนุนหมู่บ้านปลอดการเผา มาตรการส่งเสริมภาคเอกชนและภาคีร่วมป้องกันและแก้ไขมลพิษจากหมอกควัน มาตรการสื่อสารประชาสัมพันธ์สู่กลุ่มเป้าหมาย มาตรการแจ้งเตือนสถานการณ์หมอกควัน มาตรการขยายความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและมาตรการอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างการศึกษาเพิ่มเติมอีกส่วนหนึ่ง       แม้มาตรการต่างๆ จะยังไม่สมบูรณ์เต็มร้อย เพราะยังมีข้อถกเถียงกันอยู่บ้างเรื่องรายละเอียดในทางปฏิบัติของบางประเด็น แต่เชื่อว่า หากมาตรการดังกล่าวเหล่านี้ได้รับการดูแลปฏิบัติจากองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น อบจ. อบต. และเทศบาลต่างๆ เป็นต้น ซึ่งหากหน่วยงานเหล่านี้ช่วยกันทำให้เกิดเป็นรูปธรรมในระดับหนึ่งได้ ปัญหามลภาวะทางอากาศในเขตพื้นที่ภาคเหนือจะไม่รุนแรงเข้าขั้นวิกฤติเหมือนใน ปี 2550 อย่างแน่นอน       

        แต่อย่างไรก็ดี เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า ในช่วงปลายเดือนมกราคมถึงต้นเดือนเมษายน รวมระยะเวลาประมาณ 80 วันนี้ นับเป็นช่วงอันตรายอย่างยิ่งต่อการเกิดหมอกควันจากการเผาไหม้ เพราะเป็นช่วงที่มีอากาศร้อนและแห้งแล้งที่สุด อีกทั้งมีเชื้อไฟสะสมไว้เป็นปริมาณมาก ทั้งชีวมวลจากป่าไม้และเศษซากพืชทางการเกษตร (หากไม่มีการทยอยเผามาก่อน) ซึ่งถ้าหากมีไฟป่าหรือมีการเผาเศษซากพืชทางการเกษตรพร้อมๆ กันในช่วงนี้ มลพิษทางอากาศจะรุนแรงเข้าขั้นวิกฤติได้โดยง่าย        ขณะนี้ได้ย่างเข้าสู่ช่วง 80 วัน อันตรายแล้ว แม้มีบางส่วนบางจังหวัดมีไฟป่าเกิดขึ้นและมีการเผาไร่นาทำให้คุณภาพอากาศต่ำ กว่าค่ามาตรฐาน (120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) อยู่บ้าง แต่สถานการณ์โดยรวมยังคงเป็นที่น่าพอใจ แต่ถึงกระนั้น ระยะเวลาที่เหลืออีกราว 2 เดือน ยังคงต้องเฝ้าดูแลอย่าง ใกล้ชิดต่อไป        

         แม้กรมอุตุนิยมวิทยา จะเคยคาดการณ์ไว้ว่า ปีนี้จะเป็นปีของเอลนีโญที่จะทำให้ประเทศไทยเกิดความแห้งแล้งมากกว่าปกติ อันเป็นสาเหตุสำคัญที่จะมีผลทำให้เกิดมลภาวะทางอากาศในภาคเหนืออย่างรุนแรง เข้าขั้นวิกฤติได้ แต่ล่าสุดเป็นที่น่ายินดีว่า สถานการณ์จะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะจากการเฝ้าติดตามอุณหภูมิของน้ำทะเลรอบๆ ประเทศไทย ที่ระดับความลึก 0-300 เมตร พบว่า มีความแตกต่างจากค่าปกติน้อยมาก (+ 0.5 องศาเซลเซียสเท่านั้น) ซึ่งทำให้เป็นที่เบาใจได้ว่า เอลนีโญจะไม่เกิดขึ้นในช่วงฤดูแล้งนี้         และที่สำคัญยังปรากฏว่ามีฝนตกประปรายในพื้นที่ภาคเหนือในช่วงปลายเดือน มกราคมด้วย ซึ่งช่วยลดปริมาณหมอกควันที่เริ่มมีบ้างแล้วลงไปได้เป็นอันมาก แต่ถึงกระนั้น มลพิษจากหมอกควันในภาคเหนือก็ยังไม่อาจวางใจได้ เพราะการเผาป่าและการเผาไร่นายังคงเป็นวิถีชีวิตของคนบางส่วนที่ยังไม่อาจ เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตได้ในขณะนี้ ดังนั้น หน่วยงานของภาครัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องเข้มงวดกวดขันกันต่อไป จนกว่าจะพ้น 80 วันอันตรายนี้ไปให้ได้        

           ในช่วงหลายปีมานี้ มีข้อที่น่าห่วงใยอีกประการหนึ่งคือ มีโรงงานผลิตอาหารสัตว์ไปตั้งฐานการผลิตอยู่หลายแห่งในภาคเหนือ จึงมีภาคเอกชนเข้าไปส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์กันมากขึ้น เพราะข้าวโพดเป็นวัตถุดิบหลักสำคัญของอาหารสัตว์ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน จากแรงจูงใจด้านราคาและความแน่นอนของรายได้ ทำให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูกออกไปอย่างไม่จำกัด ตั้งแต่พื้นที่ราบลุ่มไปจนถึงบนยอดดอย การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่เหล่านี้ นับเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงการเผา เพราะเป็นพื้นที่ห่างไกลจากชุมชนและการคมนาคม        โดยเริ่มตั้งแต่การเผาป่าหรือพื้นที่รกร้างเพื่อเปิดพื้นที่เพาะปลูก การเผาต้นตอซังหลังการเก็บเกี่ยว และยังต้องเผาซังข้าวโพดหลังการสีหรือกะเทาะเมล็ดออกจากฝักแล้วด้วย เรื่องนี้มีแนวโน้มรุนแรงมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ แต่ดูเหมือนทางจังหวัดและหน่วยงานในท้องถิ่น รวมทั้งกรมควบคุมมลพิษก็ยังหาทางออกไม่ได้     สำหรับทางออกของปัญหาดังกล่าวเท่าที่พอเป็นไปได้ในปัจจุบันคือ การขอความร่วมมือและร่วมรับผิดชอบจากกลุ่มธุรกิจผลิตอาหารสัตว์ ให้ช่วยหามาตรการควบคุมเกษตรกรที่ปลูกข้าวโพดส่งโรงงานของตน เช่น การรับซื้อต้นข้าวโพดและซังข้าวโพดไปผลิตพลังงานหรือทำปุ๋ยหมัก ซื้อข้าวโพดในราคาพิเศษหรือลดราคาปัจจัยการผลิตให้แก่เกษตรกร หากเกษตรกรสามารถลดการเผาลงได้ เป็นต้น ทั้งนี้เพราะมาตรการทางกฎหมายคงไม่อาจนำมาใช้กับกลุ่มธุรกิจเหล่านี้ได้ เพราะไม่ใช่ผู้ก่อมลพิษโดยตรง แต่ความตระหนักในกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งทางตรงและทางอ้อมนั้น นับเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งจะต้องให้ความร่วมมือและร่วมรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นตามสมควร      

           ปีนี้พื้นที่ภาคเหนือตอนบนอาจผ่านพ้น 80 วันอันตรายไปได้ โดยไม่ปรากฏมลพิษจากหมอกควันถึงขั้นวิกฤติเลยก็เป็นได้ ทั้งนี้น่าจะเป็นเพราะสถานการณ์ต่างๆ เป็นใจ รวมทั้งหน่วยงานของแต่ละท้องถิ่นแต่ละจังหวัดต่างตื่นตัว เพราะได้รับการกระตุ้นจากกรม ควบคุมมลพิษให้เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่สำหรับปีต่อๆ ไปก็จะต้องไม่ปล่อยปละละเลยด้วย โดยเฉพาะการสร้างจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่จะต้องกระทำกันอย่างต่อเนื่องต่อไป

ผศ.สุพจน์ เอี้ยงกุญชร

คณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้

ที่มา :ภาพและเนื้อหาจาก (แนวหน้า )  7 ก.พ 2556

 

ปรับปรุงข้อมูล : 4/9/2556 11:36:26     ที่มา : คณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้     จำนวนผู้เปิดอ่าน : 6250

กลุ่มข่าวสาร : บทความน่าสนใจ

ข่าวล่าสุด

คณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร จัดโครงการฝึกซ้อมดับเพลิงและฝึกซ้อมอพยพหนีไฟ ประจำปี 2568
คณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตรได้จัดโครงการฝึกซ้อมดับเพลิงและฝึกซ้อมอพยพหนีไฟ ประจำปี 2568 ในวันพุธที่ 26 พฤศจิกายน 2568 เพื่อเตรียมความพร้อมและเพิ่มทักษะในการรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพโครงการได้รับเกียรติจาก ผศ.ดร.หยาดฝน ทนงการณ์กิจ รองคณบดีฝ่ายยุทธศาสตร์และประกันคุณภาพ เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมมอบของที่ระลึกจากกิจกรรมสุ่มจับรางวัลสำหรับผู้เข้าร่วมอบรมกิจกรรมจัดขึ้น ณ ห้อง E117 อาคารเรียนรวมสาขาวิศวกรรมศาสตร์ เวลา 13.00 – 16.30 น. โดยมี คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ นักศึกษาคณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร ร่วมด้วยบุคลากรจากคณะพยาบาลศาสตร์ รวมถึงแม่บ้านและผู้ประกอบการร้านค้าที่ปฏิบัติงานและให้บริการภายในคณะ เข้าร่วมอย่างเหมาะสมและเพียงพอสำหรับการฝึกปฏิบัติวิทยากรจาก งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลเมืองแม่โจ้ ให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันอัคคีภัย ขั้นตอนการอพยพหนีไฟ และฝึกซ้อมปฏิบัติเสมือนเหตุการณ์จริง เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างถูกต้องเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินกิจกรรมในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ หมวด 5 สภาพแวดล้อมและความปลอดภัย ตามเกณฑ์สำนักงานสีเขียว (Green Office) ที่มุ่งเสริมสร้างความตระหนักรู้และความพร้อมด้านความปลอดภัยให้กับทุกภาคส่วนที่ปฏิบัติงานภายในคณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร
29 พฤศจิกายน 2568     |      69
คณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตรร่วมพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในวาระสำคัญครบ ๑๐๐ ปี
เมื่อช่วงเช้าของวันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน 2568 คณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ได้เข้าร่วมพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสวรรคตครบ ๑๐๐ ปี และถวายพระกุศลแด่ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันประสูติครบ ๑๐๐ ปี ณ อาคารแผ่พืชน์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ในการนี้ นางวิภาวรรณ ผาภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานคณบดีคณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร และ นางสุนทรี หาญพรหม ได้เป็นผู้แทนคณะฯ เข้าร่วมประกอบพิธี โดยมีผู้บริหาร บุคลากร นักศึกษา และประชาชนทั่วไปจากหน่วยงานต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยแม่โจ้เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง เพื่อร่วมแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและน้อมรำลึกถึงพระราชจริยวัตรอันทรงคุณค่าพิธีในครั้งนี้จัดโดย กองส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม สำนักงานมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เพื่อสืบสานประเพณีอันดีงาม และแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์Cr: ภาพถ่ายจาก กองส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม ?มหาวิทยาลัยแม่โจ้
29 พฤศจิกายน 2568     |      53
ร่วมกิจกรรมสัมมนาหัวหน้าส่วนงาน (Dean Forum) สัญจร ณ มหาวิทยาลัยแม่โจ้–แพร่ เฉลิมพระเกียรติ
วันที่ 21–22 พฤศจิกายน 2568 คณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร นำโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กาญจนา นาคประสม คณบดี ได้เข้าร่วมกิจกรรมสัมมนาหัวหน้าส่วนงาน (Dean Forum) สัญจร ประจำปี 2568 ณ มหาวิทยาลัยแม่โจ้–แพร่ เฉลิมพระเกียรติการเดินทางครั้งนี้เปิดโอกาสให้ส่วนงานต่าง ๆ ได้ แลกเปลี่ยนแนวทางการบริหารจัดการองค์กร พร้อมทั้งรับฟังภาพรวมการดำเนินงานของศูนย์เกษตรอินทรีย์ ณ อาคารศาสตร์พระราชา ซึ่งเป็นพื้นที่บูรณาการการเรียนรู้ด้านการเกษตรตามแนวพระราชดำริอย่างครบวงจรภายในกิจกรรม คณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยได้เยี่ยมชม โรงเรือนนวัตกรรมอัจฉริยะเพื่อการผลิตเห็ดอินทรีย์ โรงเรือนสุกรขุนอัจฉริยะ โรงเรือนโคนมอัจฉริยะซึ่งล้วนเป็นตัวอย่างของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและระบบ Smart Farming เพื่อรองรับการเรียนการสอน การวิจัย และการพัฒนาบุคลากรในสายวิศวกรรมและเกษตรสมัยใหม่นอกจากนี้ยังมีการประชุมหารือในกิจกรรมสัมมนาหัวหน้าส่วนงาน ซึ่งเปิดพื้นที่ให้ผู้บริหารทุกคณะ สะท้อนความต้องการ แลกเปลี่ยนข้อมูล และร่วมออกแบบแนวทางขับเคลื่อนมหาวิทยาลัย ให้ตอบโจทย์ภารกิจมหาวิทยาลัยในยุคดิจิทัลคณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตรขอขอบคุณคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยแม่โจ้–แพร่ เฉลิมพระเกียรติ ที่ให้การต้อนรับอย่างดียิ่ง และยินดีที่จะร่วมมือกันพัฒนานวัตกรรมเพื่อสนับสนุนระบบการศึกษาเกษตรอัจฉริยะอย่างต่อเนื่อง ข่าวหลักจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้-แพร่ เฉลิมพระเกียรติ ได้ที่:https://www.facebook.com/share/14QD6LBSNa1/?mibextid=WC7FNe
29 พฤศจิกายน 2568     |      61
กิจกรรม สัมมนาวิชาการด้านเครื่องทำความเย็น
BITZER Refrigeration Asia Pte.,Ltd. ร่วมกับคณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตรจัดกิจกรรม สัมมนาวิชาการด้านเครื่องทำความเย็น (Refrigeration Seminar) เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะ (Upskill) ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมระบบทำความเย็นเพื่อการประหยัดพลังงาน ให้กับนักศึกษา คณาจารย์ และผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องในการนี้ คณะได้รับเกียรติจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทิพาพร คำแดง ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายพัฒนานักศึกษาและกิจกรรมพิเศษ ประธานในพิธีเปิดและผู้รับมอบทุนการศึกษาในนามของคณะ ให้เกียรติกล่าวต้อนรับและเปิดกิจกรรม พร้อมร่วมรับมอบทุนการศึกษาจากบริษัท BITZER Refrigeration Asia Pte., Ltd.โดยการจัดกิจกรรมครั้งนี้ คณะได้รับความอนุเคราะห์จาก บริษัท BITZER Refrigeration Asia Pte., Ltd. ในการสนับสนุนทุนการศึกษาแก่นักศึกษา จำนวน 30,000 บาท เพื่อส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาและพัฒนาทักษะวิชาชีพด้านระบบความเย็นคณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร ขอขอบคุณ ศิษย์เก่าของคณะ ที่มีบทบาทสำคัญในการประสานงานและผลักดันการจัดสัมมนาครั้งนี้ อันเป็นส่วนช่วยในการพัฒนาองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเครื่องทำความเย็นเพื่อการประหยัดพลังงานให้แก่คณาจารย์และนักศึกษาของคณะอย่างต่อเนื่อง
29 พฤศจิกายน 2568     |      54