คณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้
FACULTY OF ENGINEERING AND AGRO-INDUSTRY, MAEJO UNIVERSITY

   

  

    สถานการณ์ความผันแปรของสภาพอากาศ ของประเทศไทยตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2553 ต่อเนื่องมาจนถึงขณะนี้นั้น เป็นที่แน่ชัดว่า เกิดจากอิทธิพลของลานีญา (La Nina) ทั้งนี้เพราะความผันแปรของสภาพอากาศตลอดปี พ.ศ. 2554 ที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ สองสามประการที่บ่งชี้ว่า ต้นเหตุเกิดจากอิทธิพลของลานีญา อย่างแน่นอน ดังนี้

   ประการแรกคือ อุณหภูมิอากาศหนาวเย็นกว่าปกติ ปี พ.ศ. 2554 อุณหภูมิอากาศของประเทศไทยมีความผันแปรผิดปกติ มากที่สุดในรอบหลายทศวรรษ เพราะเป็นปีที่มีอากาศหนาวยาวนานจนถึงกลางเดือน มีนาคม ซึ่งนับว่าผิดปกติอย่างมาก เนื่องจาก ปกติในช่วงฤดูหนาวจะมีอากาศจะหนาวเย็น ไม่เกินเดือนกุมภาพันธ์ เพราะเดือนมีนาคม ถึงเดือนพฤษภาคมจัดเป็นช่วงฤดูร้อนของประเทศไทย แต่กลางเดือนมีนาคม ปี พ.ศ. 2554 เกิดอุณหภูมิลดต่ำลงอย่างฉับพลันทั่วทุกภาคของประเทศ

   สาเหตุมาจากลมตะวันตกกำลังแรงที่พัดมาจากเทือกเขาหิมาลัยผ่านเข้ามาทางตอนเหนือของประเทศไทย และปะทะเข้า กับมวลอากาศเย็นของความกดอากาศสูงกำลังแรงที่แผ่ลงมาจากประเทศจีนเข้าปกคลุมประเทศไทยหลายระลอก จากการตรวจวัดของกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่า ช่วงดังกล่าวอุณหภูมิอากาศต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียสเกือบทุกจังหวัดในพื้นที่ภาคกลาง (ตั้งแต่กรุงเทพฯขึ้นไป) และมีอุณหภูมิต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส เกือบทุกจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนและบางจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคอีสาน จึงทำให้กล่าวได้ว่า เกิดอากาศหนาวกลางฤดูร้อน ขึ้นในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2554

   เหตุการณ์นี้เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าเป็นอิทธิพลโดยตรงของลานีญา ซึ่งตรงกันข้ามกับปีที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง เพราะปี พ.ศ. 2553 จัดเป็นปีที่มีอากาศร้อนที่สุดในรอบทศวรรษของประเทศไทย (แม่โจ้ปริทัศน์ ปีที่ 11 ฉบับที่ 6) โดยอุณหภูมิเฉลี่ยในเดือนเมษายนสูงถึง 30.8 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าค่าปกติถึง 1.4 องศาเซียลเซียส จัดเป็นอันดับสองรองจากปี พ.ศ. 2501 เท่านั้น และอุณหภูมิสูงสุดที่ตรวจวัดได้ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2553 ที่ อ.เมือง จ.ตาก สูงถึง 43.5 องศาเซลเซียส ซึ่งใกล้เคียงกับสถิติอุณหภูมิสูงสุดของประเทศไทย (44.5 องศาเซลเซียส)

 ประการที่สอง ปริมาณน้ำฝนมากกว่าปกติ จากข้อมูลปริมาณน้ำฝนของกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่า ฤดูฝนของปี พ.ศ. 2554 มีฝนตกชุกมากและผิดปกติมากที่สุด โดยภาพรวมของทั้งประเทศ ฤดูฝนปีนี้มีปริมาณฝนสะสมสูงถึง 1,822 มม. ซึ่งสูงกว่าค่าปกติ ถึงร้อยละ 28 โดยภาคอีสานมีฝนสะสมสูงกว่าค่าปกติร้อยละ 24 ขณะที่ภาคกลางสูงกว่าค่าปกติร้อยละ 26 และสูงกว่าค่าปกติมากถึงร้อยละ 42 สำหรับภาคเหนือ นี่คือต้นเหตุที่แท้จริงของมหาอุทกภัยในปีนี้ เพราะตามปกติฤดูฝนในส่วนพื้นที่ตอนบนของประเทศไทย (ทั่วทั้งประเทศยกเว้นภาคใต้) จะอยู่ประมาณกลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคม โดยแต่ละเดือนจะมีปริมาณฝนสะสมมากกว่า 100 มม.ขึ้นไป

   แต่ปีนี้กลับมีฝนตกหนักตั้งแต่เดือนมีนาคม ซึ่งนับว่า ผิดปกติเป็นอย่างยิ่งเพราะยังอยู่ในช่วงฤดูร้อน (แล้ง) โดยเฉพาะ ในภาคเหนือและภาคกลางมีฝนตกในเดือนนี้มากกว่าค่าปกติถึงสามเท่า และตั้งแต่เดือนเมษายนจนถึงเดือนตุลาคมก็ยังมีฝนตกมากกว่าค่าปกติทุกเดือนด้วย ยกเว้นเพียงเดือนกันยายนและเดือนตุลาคมของภาคกลางเท่านั้น ที่มีฝนตกน้อยกว่าค่าปกติเพียงเล็กน้อย ซึ่งช่วยให้สถานการณ์มหาอุทกภัยผ่อนคลายลงได้ ไม่เช่นนั้นมหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในปีนี้คงยืดเยื้อต่อเนื่องไปอีกจนถึงสิ้นปีอย่างแน่นอน เหตุการณ์เหล่านี้ยืนยันถึงอิทธิพลโดยตรง ของลานีญาอย่างชัดเจน

   ในปี พ.ศ. 2554 นี้ มีฝนตกหนักผิดปกติในเดือนมีนาคมของพื้นที่ภาคใต้ สูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติ 5 ถึง 10 เท่า (ทำลายสถิติ มากมายเป็นประวัติการณ์ในหลายพื้นที่) ส่งผลให้เกิดอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ขึ้นในเดือนมีนาคม เหตุการณ์นี้จึงต้องถูกบันทึกเป็น น้ำท่วมกลางฤดูแล้งของภาคใต้ เพราะเหตุการณ์เช่นนี้ไม่น่า จะเกิดขึ้นได้อีกโดยง่าย แต่เป็นเหตุการณ์ที่แสดงถึงอิทธิพล ของลานีญาอย่างชัดเจนอีกเช่นกัน

   ส่วนฝนที่ตกหนักในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างในช่วงเดือนธันวาคม และเดือนมกราคมนั้น แม้จะถือเป็นเรื่องปกติ แต่ปริมาณฝนที่ตก ก็ค่อนข้างมาก (สูงกว่าค่าเฉลี่ย) ในหลายพื้นที่ และนอกจากนี้ยังมี ปรากฏการณ์คลื่นลมแรงตลอดแนวชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออก (ภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย) บางพื้นที่มีคลื่นสูงมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยเฉพาะพื้นที่ชายฝั่งแถบจังหวัดนราธิวาสและปัตตานี หาดสมิหลา จังหวัดสงขลา และแหลมตะลุมพุก จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้รับความเสียหายเป็นอันมาก

   ประการที่สาม ความแปรปรวนของพายุหมุนเขตร้อน (Tropical Cyclone) ปี พ.ศ. 2554 พายุหมุนเขตร้อนก่อตัวค่อนข้างมากในช่วงต้นฤดู แต่กลับขาดหายไปอย่างรวดเร็วในช่วง ท้ายฤดู (โดยปกติช่วงฤดูพายุหมุนเขตร้อนจะอยู่ระหว่างเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนธันวาคม) และที่ยิ่งผิดปกติไปกว่านั้นก็คือ ช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเคยเป็นช่วงที่มักมีพายุหมุนเขตร้อน เข้าถึงประเทศไทยได้และมักสร้างความเสียหายให้กับประเทศไทย แทบทุกปี แต่ปีนี้กลับไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าว แม้ในเดือนตุลาคมจะเกิดพายุโซนร้อนบันยัน (Ban Yan) ขึ้นในทะเลจีนตอนใต้แต่ก็สลายตัวไปอย่างรวดเร็ว และแม้แต่พายุไต้ฝุ่นวาชิ (Washi) ที่ก่อตัวขึ้นในเดือนธันวาคม สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศฟิลิปปินส์ตอนใต้อย่างมากมายมหาศาล ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่าพันคน แต่พายุวาชิก็มาสลายตัวในทะเลจีนตอนใต้ใกล้ๆ ประเทศเวียดนาม แม้ไม่อาจชี้ชัดได้ว่าอิทธิพลของลานีญามีผลต่อการก่อตัวและการเคลื่อนที่ของพายุหมุนเขตร้อนโดยตรง แต่ความแปรปรวนที่ปรากฏก็น่าเชื่อได้ว่า อิทธิพลของลานีญาน่าจะมีส่วน เกี่ยวข้องอยู่บ้างไม่มากก็น้อย

   แม้ปรากฏการณ์ ลานีญา ที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2554 นี้จะมี ความรุนแรงอยู่ในระดับปานกลางก็ตาม แต่เป็นลานีญา ที่เกิดขึ้น ทันทีที่ปรากฏการณ์เอลนีโญ (EL Nino) สิ้นสุดลง และคงสภาวะอยู่เป็นเวลาที่ยาวนานกว่าปกติ ทั้งนี้เพราะปกติลานีญา จะเกิดขึ้นและยุติลงภายในเวลาไม่เกินหนึ่งปี แต่ครั้งนี้เกิดปรากฏการณ์ ลานีญา ขึ้นตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2553 และคงสภาพยาวนานข้ามปี พ.ศ. 2554 และจากการติดตามสถานการณ์ ENSO (El Nino / La Nina) อย่างใกล้ชิดของกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่า ขณะนี้ ศูนย์พยากรณ์ส่วนใหญ่ต่างคาดการณ์ว่า ปรากฏการณ์ลานีญา จะยังคง สภาวะอยู่ต่อไปจนถึงกลางปี พ.ศ. 2555 รวมเวลาที่เกิดปรากฏการณ์ ครั้งนี้จึงยาวนานถึง 2 ปี (ถ้าหากสถานการณ์ยุติลงตามที่ได้คาดการณ์ไว้) ซึ่งนับได้ว่า สถานการณ์ครั้งนี้เป็นปรากฏการณ์ลานีญา ที่เกิดยาวนานมากผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ประเทศไทยยังคงต้อง ถูกคุกคามจากอิทธิพลของลานีญาต่อไปอีกครึ่งปีเป็นอย่างน้อย

   ดังนั้น ปี พ.ศ. 2555 นี้ ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับอากาศหนาวเย็นและฝนตกหนักกว่าปกติ และต้องเผชิญกับความเสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัยต่อไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย

ผศ.สุพจน์ เอี้ยงกุญชร

ปรับปรุงข้อมูล : 8/1/2555 10:57:05     ที่มา : คณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้     จำนวนผู้เปิดอ่าน : 14183

กลุ่มข่าวสาร : บทความน่าสนใจ

ข่าวล่าสุด

ร่วมสืบสานคุณค่า นวัตกรรมจากยางพารา
วันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 คณาจารย์สาขาวิชาเทคโนโลยียางและพอลิเมอร์ คณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร ได้ร่วมจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์หลักสูตร พร้อมเวิร์กช็อป DIY “โบว์ไว้อาลัยจากผ้าเคลือบน้ำยาง” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของผลงานวิจัย ในงานประชุมวิชาการและนิทรรศการ ครั้งที่ 12 “ทรัพยากรไทย : หวนดูทรัพย์สิ่งสินตน” ณ โรงประชุมชูติวัตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่กิจกรรมได้รับความสนใจจากนักศึกษา บุคลากร และประชาชนจำนวนมาก สะท้อนพลังของงานวิจัยที่สามารถต่อยอดสู่การใช้งานจริงได้อย่างภาคภูมิ
12 พฤศจิกายน 2568     |      1106
กิจกรรม Workshop “ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มชากล้วยไม้ดอกเอื้องคำ”
วันที่ 9 พฤศจิกายน 2568 คณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เข้าร่วมกิจกรรม Workshop ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มชากล้วยไม้ดอกเอื้องคำ และชาเพื่อสุขภาพ ภายใต้การประชุมวิชาการและนิทรรศการ ครั้งที่ 12 “ทรัพยากรไทย : หวนดูทรัพย์สิ่งสินตน” จัดโดยสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) หรือ อพ.สธ. ระหว่างวันที่ 4–10 พฤศจิกายน 2568 ณ โดมแก้ว สนามวังชัย มหาวิทยาลัยแม่โจ้กิจกรรมในครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กาญจนา นาคประสม คณบดีคณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร เป็นวิทยากรให้ความรู้ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชาสมุนไพรและชากล้วยไม้ดอกเอื้องคำ พร้อมสาธิตกระบวนการผลิตและเทคนิคการชงชาเพื่อสุขภาพนอกจากนี้ยังมีคณาจารย์และนักศึกษาจาก สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร ร่วมเป็นพี่เลี้ยงในการฝึกอบรมปฏิบัติจริง ให้คำแนะนำและสาธิตขั้นตอนการผลิต เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้และลงมือปฏิบัติด้วยตนเองกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านการแปรรูปผลิตภัณฑ์เกษตร เพิ่มมูลค่าสมุนไพรท้องถิ่น และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรไทยอย่างรู้คุณค่า
12 พฤศจิกายน 2568     |      3177
โครงการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์กับภาคธุรกิจ ระหว่าง มหาวิทยาลัยแม่โจ้ (คณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร) กับ บริษัท บีเจซี บิ๊กซี ซูเปอร์ฟาร์ม จำกัด เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
พิธีลงนามความร่วมมือทางวิชาการ โครงการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์กับภาคธุรกิจ ระหว่าง มหาวิทยาลัยแม่โจ้ (คณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร) กับ บริษัท บีเจซี บิ๊กซี ซูเปอร์ฟาร์ม จำกัดเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568คณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร ได้จัดพิธีลงนามความร่วมมือทางวิชาการ “โครงการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์กับภาคธุรกิจ” กับบริษัท บีเจซี บิ๊กซี ซูเปอร์ฟาร์ม จำกัด ณ ห้อง E502 ชั้น 5 อาคารพนมสมิตานนท์ โดยมี รองศาสตราจารย์ จักพงษ์ พิมพ์พิมล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กาญจนา นาคประสม คณบดีคณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตรและ คุณอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานกรรมการบริษัท บีเจซี บิ๊กซี ซูเปอร์ฟาร์ม จำกัด พร้อมด้วย คุณทองเปลว กองจันทร์ และ คุณดุษณี เมอร์ลิง กรรมการบริษัท เข้าร่วมลงนามในครั้งนี้ภายหลังพิธีลงนาม ได้เข้าเยี่ยมชม ห้องปฏิบัติการและห้องคัดบรรจุผลิตผลทางการเกษตร ซึ่งเป็นพื้นที่ความร่วมมือระหว่างคณะฯ และบริษัทฯ เพื่อใช้ในการพัฒนาคุณภาพของผลิตผลทางการเกษตรหลังการเก็บเกี่ยว อันจะนำไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มในเชิงพาณิชย์ต่อไปคณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตรได้เล็งเห็นความสำคัญของความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษาและภาคเอกชน เพื่อสร้างเครือข่ายในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ขณะเดียวกัน บริษัท บีเจซี บิ๊กซี ซูเปอร์ฟาร์ม จำกัด เป็นองค์กรเอกชนในธุรกิจสินค้าผลิตผลทางการเกษตร ซึ่งมีศักยภาพและความเชี่ยวชาญสูง ทั้งสองฝ่ายจึงเห็นสมควรจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาความรู้และทักษะของนักศึกษา การวิจัย และการพัฒนานวัตกรรม เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ รวมถึงการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ระหว่างภาคการศึกษาและภาคธุรกิจ อันจะนำไปสู่การบูรณาการด้านการเรียนการสอนและการบริการวิชาการร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยและบริษัท
12 พฤศจิกายน 2568     |      1097
ก้าวต่อยอดความร่วมมือไทย–ไต้หวัน สร้างเครือข่ายวิชาการเพื่อเกษตรยั่งยืน ม.แม่โจ้ ร่วมประชุมวางแผนกับ NPUST Taiwan
ก้าวต่อยอดความร่วมมือไทย–ไต้หวัน สร้างเครือข่ายวิชาการเพื่อเกษตรยั่งยืน ม.แม่โจ้ ร่วมประชุมวางแผนกับ NPUST Taiwanวันที่ 8 พฤศจิกายน 2568 คณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ?ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กาญจนา นาคประสม คณบดีคณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร พร้อมด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.แพรวพรรณ จอมงาม เข้าร่วมการประชุมหารือร่วมกับทีมผู้บริหาร คณะผลิตกรรมการเกษตร เพื่อวางแผนแนวทางความร่วมมือทางวิชาการกับ Professor Dr. Yi-Hsien Lin คณบดีภาควิชา Plant Medicine, Agriculture College และ Dr. Shang-Han Tsai ผู้อำนวยการฝ่ายความร่วมมือต่างประเทศ (Director of Overseeing the Cooperation Division) จาก National Pingtung University of Science and Technology (NPUST) ประเทศไต้หวัน? ณ ห้องประชุม ชั้น 5 อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ คณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้การประชุมในครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระดับนานาชาติ เพื่อร่วมกันพัฒนาศักยภาพด้านวิชาการ การวิจัย และนวัตกรรมทางการเกษตรให้เกิดความยั่งยืนในอนาคต
12 พฤศจิกายน 2568     |      36